Trips Planning

ไม่ได้พาไป แค่แนะนำให้ลองไป

Trips Planning

สุพรรณบุรี มาแล้วก็มาอีก

สุพรณณบุรี นับว่าเป็นจังหวัดที่ไม่ได้ไกลจากกรุงเทพมาก ใช้เวลาเดินทางประมาณชั่วโมงกว่าๆก็ถึงแล้ว แต่บ้านเราซึ่งมีเด็กเล็กเริ่มออกจากบ้านที่เวลา 9 โมง แวะกินข้าว เติมน้ำมัน เข้าห้องน้ำ ถึงสุพรรณเริ่มทริปที่แรกก็ 11 โมงกว่าเข้าไปแล้ว 🙂

ถ้าให้พูดถึงจังหวัดนี้คนทั่วไปจะนึกถึงอะไรกันบ้างเราไม่รู้ ก่อนหน้านี้เราเองก็รู้จักแต่หอคอยบรรหาร-แจ่มใส สำหรับการมาเยือนจังหวัดนี้ในครั้งแรก ส่วนครั้งที่สอง ถึงจะมีโอกาสได้มา “อุทยานมังกรสวรรค์” หรือ “พิพิธภัณฑ์ลูกหลานพันธุ์มังกร” แต่…ก็ยังไม่ได้เข้า เลยไปบึงฉวากซะนี่ 55

เอาตรงๆคือ ณ ตอนนั้นในความคิดแรกคิดว่าค่าเข้านั้นค่อนข้างแพง เมื่อเทียบกับภายนอกที่เห็น…ซึ่งไม่ใช่กับครั้งนี้ค่ะ เราตั้งใจขับรถมาชมที่นี่ก่อนเลย เนื่องจากในคราวนี้เรามี Muse Pass นั่นเอง ดังนั้นถ้าเข้าไปแล้วไม่โอเค อย่างน้อยก็ถือว่าเข้าฟรีอะเนอะ

(หมายเหตุ : Muse Pass คือ บัตรท่องเที่ยวมิวเซียมทั่วไทย ที่ซื้อเพียงครั้งเดียวสามารถใช้ได้กับพิพิธภัณฑ์หลายๆแห่งในประเทศไทย โดยจะมีอายุการใช้งาน 1 ปี ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่กันเลย https://www.museumthailand.com/th/musepass)

ทีนี้ก็พร้อมแล้วที่จะพาไปชมอุทยานมังกรสวรรค์!!!

เจ้าหน้าที่จะให้ถุงใส่รองเท้ากับเรามาคนละ 1 คู่ อ๊ะๆ ไม่ใช่ให้ถอดรองเท้าใส่ไปนะ ให้สวมถุงทับเลยจ้า เท้าเราก็จะเป็นสีฟ้าเก๋ๆแบบนี้

แต่ใส่แล้วจะอบๆเท้านิดนึงนะ 555+

พิพิธภัณฑ์นี้จะมีห้องจัดแสดงประมาณ 20 ห้อง โดยแบ่งเป็นยุคต่างๆของจีน มีรายละเอียดที่แตกต่างกันไป เช่น บุคคลสำคัญในยุคนั้นๆ เหตุการณ์ สถานที่ที่น่าสนใจ หรือสิ่งประดิษฐ์อะไรที่เกิดขึ้นในยุคนั้น โดยหน้าทางเข้าจะมีรูปปั้นมังกรที่ทำจากทองคำแท้ มูลค่า 2 ล้านบาท!!! ตั้งอยู่ นี่รีบตะครุบมือลูกไว้แทบไม่ทันเลยทีเดียว 55555+

นี่จ้ะ มูลค่า 2 ล้านบาท เป็นทุนส่วนตัวของท่าบรรหารด้วยนะ
อันนี้คือผังที่บอกว่าจัดแสดงยุคไหน มีอะไรบ้าง บอกตรงๆมาครั้งแรกไม่อินอ่ะ เห็นแค่นี้แลกกับค่าเข้าสามร้อย ผ่านไปเลยจ้า

เข้ามาข้างในพิพิธภัณฑ์แล้ว ที่นี่จะมีไกด์คนสวยคอยอธิบาย แนะนำในแต่ละห้องต่างๆ ซึ่งในแต่ละห้องการนำเสนอก็จะแตกต่างกันไป ในห้องแรกจะเป็นหน้าจอที่กว้างมากจนเกือบจะเป็นพาราโนรามาเลยทีเดียว โดยแนะนำพิพิธภัณฑ์ทั้งหมดคร่าวๆ โดยมีตัวการ์ตูนมังกรสองตัวพ่อลูกคุยโต้ตอบกันไปมา ณ จุดแรกนี่ก็ชอบแล้ว เพราะลูกชายดูสนใจการ์ตูนจริงจังเลย 😀

ถ่ายมังกรไม่ทัน ถ่ายทันแต่การ์ตูนคนจีนพ่อลูก

ถัดมาเป็นการนำเสนอความเชื่อของชาวจีนที่ว่า โลกมนุษย์นั้นเกิดจากผานกู่ ผานกู่คือผู้สร้างโลก คือผู้ที่สละร่างกายของตัวเองทั้งหมดมาสร้างเป็นโลก เช่น ตาซ้ายเป็นพระอาทิตย์ ตาขวาเป็นพระจันทร์ เส้นเลือดคือแม่น้ำ อะไรประมาณนี้ จุดนี้นำเสนอผ่านรูปปั้นที่มีท่าแบกหินอยู่

ตอนนี้ยังไม่มีอะไร ไฟสว่าง เป็นเพียงรูปปั้นงงๆ
พอมีแสงสีเสียงเท่านั้นล่ะจ้า เอา่ใจไปเลย!

ต่อมา ทีนี้มีโลกแล้วใช่ไหม แต่ยังไม่มีสิ่งมีชีวิต (นี่จำคำพูดจากไกด์มาเลยนะ 55+) ก็เลยมีเจ้าแม่หนี่วา ปั้นมนุษย์คู่แรกจากดินแม่น้ำเหลือง (คนจีนเลยมีผิวเหลือง ไกด์เค้าว่างั้นนะ นี่ไม่ได้พูดเอง) และอยู่กินขยายเผ่าพันธุ์จากนั้นสืบมา

ข้างๆเจ้าแม่นั่นก็คือจอนำเสนอจ้า มีน้ำจากแม่น้ำเหลืองในตู้อีกด้านด้วยนะ แต่ไม่ได้ถ่ายมา คือบางห้องเข้าไปแอบอลังจนไม่รู้จะถ่ายอะไรก่อนอะ

ไปต่อกันเลย ห้องนี้มืดและแป๊บเดียวเอง เป็นห้องที่พูดถึงคนหนึ่ง (ขออภัยจำชื่อไม่ได้จริงๆ) เป็นผู้ที่เสาะหาพันธุ์พืชต่างๆมา จนได้พบใบ “ฉา” หรือ “ชา” ในภาษาไทยนั่นเอง

มืดจ้า ถ่ายมาได้แค่นี้ 555

ต่อมา เริ่มเป็นยุคหวนตี้กับเหยียนตี้ (ถ้าชื่อไม่แม่น ขออภัย จำยากเหลือเกิน) ที่ร่วมกันก่อร่างสร้างชนเผ่าจีน และมีการค้นพบใยไหม จึงเกิดการสาวไหม และทอไหม จนเกิดเป็นผ้าไหมตามลำดับ

สองผู้ก่อตั้ง ตรงกลางเป็นจอ
ผู้ค้นพบไหมในระหว่างนั่งจิบชาชิวๆ ไหมตกลงในชาร้อนๆจึงละลายเป็นเส้นไหม ตรงนี้นำเสนอด้วยภาพแบบซิลลูเอท เจ๋งไปอีก ชอบๆ
จำลองอาวุธที่ใช้ในสมัยก่อน ยาวนะ นักรบสมัยก่อนตงต้องตัวสูงใหญ่พอควรเลย ส่วนอีกอันเป็นรถเข็มทิศ คือเข็นไปแล้วหุ่นเล็กๆข้างบนชี้ไปไหน ทางนั้นคือทิศใต้ อันนี้ก็เจ๋งดี ชอบๆ

ห้องถัดไปเลยจ้า อันนี้จำรายละเอียดไม่ได้เลย เพราะเข้าไปก็ว้าวกับมังกรบนเพดานอ่ะ ตัวใหญ่ 55+ แถมบนพื้นก็มีปลาแหวกว่ายให้จับเล่นอีกแน่ะ

ขยับได้ด้วยนะเออ
เด็กน้อยไล่จับปลา เราว่าดีนะ มีอะไรให้เด็กไม่เบื่อ ผู้ใหญ่ก็ได้ความรู้ไปด้วย ดีอะ

ส่วนห้องนี้ เป็นห้องที่เล่าถึงแนวคิดหรือคำสอนของบุคคลสำคัญๆ การนำเสนอของเค้าก็คือ เราไปนั่งที่ม้านั่ง เมื่อเริ่มนำเสนอ ม้านั่งจะหมุนไปที่จอแต่ละจอให้เองเลย

อย่างอันนี้เป็นของท่านเล่าจือ

การจัดแสดงเค้าเยอะจริงๆ ที่เล่ามานี่ยังไม่ถึงครึ่งเลยนะ 555+ ไปกันต่อจ้า

อันนี้เป็นห้องจัดแสดงในยุคของจิ๋นซี ก็คือจะมีสุสานจิ๋นซีจำลอง ประวัติจิ๋นซีฮ่องเต้ดังอยู่ หาอ่านเอาได้ไม่ยากเนอะ

รูปปั้นจิ๋นซีฮ่องเต้
จำลองสุสาน เป็นกระจกหนาๆ เดินได้นะ

ต่อไปจะเล่าแต่ที่น่าสนใจจริงๆละกันนะ เพราะที่ดูมาค่อนข้างเยอะ ถ่ายไม่ทันก็มี ไฟมืดไปก่อน

ห้องนี้เป็นห้องที่มีเอฟเฟคจ้า คือนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับสามก๊กในตอนที่ยิ่งใหญ่และน่าประทับใจก็คือ โจโฉแตกทัพเรือ (ถ้าจำไม่ผิด) เวลานั่ง หันหน้าเข้าจอแล้วให้ชิดริมซ้ายไว้ เพราะริมขวาจะมีเอฟฟเฟคลมร้อนออกมาจ้า นี่ไกด์เค้าเตือนก่อนเลย จะได้ไม่ตกใจ 55+

รูปปั้นขงเบ้ง

ห้องต่อมา “น้ำทำให้เรือลอยได้ ก็ทำให้เรือจมได้เหมือนกัน” ไฮไลท์อยู่ที่ด้านบน เป็นการนำเสนอเรื่องของกษัตริย์จีนในยุคหนึ่งที่ค่อนข้างเอาเปรียบประชาชนราษฎร ขูดรีดภาษีไปใช้อย่างฟุ่มเฟือย ที่เห็นคือเป็นเรือของกษัตริย์ที่ใช้นางสนมมากมายลากจากบนบก นี่คือลากไปทางใต้หาหญิงงามมาเป็นสนมแค่นั้นเองนะ ในความเห็นเรา เป็นการใช้ resource ได้โหดมากอะ 55+

มุมจะแปลกๆหน่อย เพราะต้องมองขึ้นไปบนเพดาน

อันนี้เป็นพระพุทธรูปที่พระนางบูเชคเทียนให้สร้างขึ้น ว่ากันว่าพระพักตร์ของพระรูปองค์นี้เหมือนพระนาง ส่วนประวัติของพระนางบูเชคเทียน หาอ่านเอาเนอะ นี่ก็ซื้อหนังสือมายังอ่านไม่จบเลย 55+

ต่อมาเป็นห้องของเปาบุ้นจิ้น เสียใจถ่ายตอนเคลื่อนไหวสั่งประหารไม่ทัน ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ใครได้ไปดูจับตาดีๆนะ เค้าเปิดให้ดูรอบเดียวด้วย 😀

ส่วนห้องนี้ เป็นเรื่องราวตำนานของ “อิ่วจาก้วย” หรือ “ปาท่องโก๋” ที่บ้านเรารู้จักนั่นเอง

ไกด์บอกว่า จะเขกจะทุบตีด่าทอรูปปั้นได้ตามใจ แต่อย่าถ่มถุยนะจ๊ะ 555+

ส่วนนี้เป็นส่วนของการแสดงงิ้ว มีการเคลื่อนไหวเหมือนแสดงงิ้วจริง ชุดสวยดี ชอบแค่นั้นอะ ^^’

ต่อมาเริ่มเป็นการนำเสนอการเปลี่ยนผ่านของยุคสมัยของจีน เริ่มจากการก่อสร้างตึก ท่าเรือ และมาจนถึงกษัตริย์องค์สุดท้าย “ปูยี”

การนำเสนออยู่ที่จอด้านล่าง ส่วนรูปปั้นเด็กน้อยนั่นคือปูยี หลอนนิดๆ นี่ลูกชายไม่กล้าเข้าใกล้ถ่ายรูปเลยอ่ะ T_T
เปลี่ยนผ่านจากการรัดเท้าของผู้หญิง ไว้ผมเปียของผู้ขาย
เปลี่ยนมาเป็นปล่อยเท้าและตัดผมสั้น ขออภัยแสงน้อย เบลอมาก 555
จำลองบ้านเมืองจีนในยุคปัจจุบัน อันนี้คือหอไข่มุก เซี่ยงไฮ้

จบจ้าาาาา กับที่แรก?!!!?? ใช้เวลาชมในนี้นานเกือบๆ 2 ชม. นี่คิดว่าต่อให้เสียเงินเองก็ค่อนข้างคุ้มนะ หลายอันค่อนข้างทำได้ดี หลายอันก็ไม่แย่ เหมาะกับการรับชมทุกเพศทุกวัย เด็กน้อยบ้านเราสองขวบกว่ายังให้ความสนใจในระดับนึงเชียวล่ะ

อันนี้คือวันเวลาทำการ รอบแสดง และค่าเข้าชม

วันอาทิตย์แอบมีโปรอี๊ก

พักทานข้าวกลางวันที่ “หมู่บ้านมังกรสวรรค์” แล้วไปต่อกันเลยจ้า

สถานที่ต่อไป ไม่ไกลกันเท่าไหร่นัก ขับรถต่อไปอีกประมาณ 5 นาทีก็ถึง “คุ้มขุนแผน” กันแล้ว

สำหรับจุดนี้สิ่งที่น่าสนใจคือ ต้นมะขามยักษ์พันปี และคุ้มขุนแผนซึ่งเป็นบ้านเรือนไทย ในเรือนไทยมีจัดแสดงจุดถ่ายรูป และเรื่องราวของวรรณคดีไทย ขุนช้างขุนแผน ส่วนพื้นที่ด้านหน้าเรือน ก็จะเป็นรูปปั้นคนสุพรรณบุรีที่มีชื่อเสียง เช่น แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์

จบไปอย่างรวดเร็วกับสถานที่ที่สอง ตอนนี้ก็บ่ายสองแล้ว มาค่ะ! แรงยังไม่หมด ที่ต่อไปกันเลย!!

ที่ที่ 3 ของทริปนี้ หลายคนคงเคยไปมาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกของเราและครอบครัวค่ะ “วัดป่าเลไลยก์”

ตอนนี้เค้าสร้างโบสถ์ใหม่ให้สักการะแล้วนะ แต่โบสถ์เก่าก็ยังอยู่จ้า นี่ไม่เคยมา ไปโบสถ์ใหม่ก่อนเลย สักการะหลวงพ่อโต ปิดทอง แล้วค่อยเดินไปไหว้หลวงพ่อโตในโบสถ์เดิมอีกที

อันนี้ในโบสถ์ใหม่ ลูกชายตั้งใจสวดมนต์มาก 55+
อันนี้โบสถ์เก่าจ้า ปล.เราก็ตั้งใจมาเก็บภาพนี้แหละ ต้องเห็นกับตาให้ได้ งามจริงๆนะ

สมใจแล้วเนอะ ไปต่อ 55+

ใกล้จะสามโมงแล้ว ครอบครัวตัวเที่ยวนี้ก็ขอไปเที่ยวกันต่อที่ “วัดเขาทำเทียม” ซึ่งจะมีพระพุทธรูปแกะสลักจากหน้าผาหิน และมีการเจาะโพรงถ้ำพร้อมประดิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ได้เคาระสักการะ

ส่วนตัวคิดว่าค่อนข้างอลังการและสวยนะ แต่หลายๆส่วนอาจจะยังไม่เสร็จ เลยยังดูไม่ค่อยสมบูรณ์ซักเท่าไหร่ มาตอนเช้าน่าจะสวยเลย แสงอาทิตย์จะส่องที่พระพุทธรูปพอดี อันนี้เราไปบ่ายเลยค่อนข้างเป็นเงาเยอะไปหน่อย ถ่ายรูปยากขึ้นเท่านั้นเองจ้า ส่วนในโพรงถ้ำและหน้าพระพุทธรูปก็ลมพัดเย็นสบายมากๆ ทั้งๆที่ข้างล่างลานจอดรถร้อนแทบไหม้แท้ๆ 🙂

ข้างบนสุดก็กำลังสร้างเจดีย์อีกนะ
โพรงถ้ำจากข้างในมองออกไปข้างนอก
โพรงถ้ำมองจากข้างนอกเข้าไปข้างใน

จบแล้ว…เหรอ? ยั๊งงงงง ไปต่อ!!! คอนเซปต์บ้านนี้เที่ยวแบบพระอาทิตย์ไม่ตกดินไม่เข้าบ้านจ้า

ที่สุดท้ายกันแล้ว ขอแหย่ขาไปกาญจนบุรีแป๊บบบบนึงนะ กับ “วัดสระลงเรือ”

วัดนี้เค้าเคลมว่า มีเรือสุพรรณหงส์จำลองที่ใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนประวัติของวัดนี้เป็นวัดที่ค่อนข้างเก่าแก่หลายร้อยปีมาก หาอ่านเอาได้จากเว็บอื่นๆเนอะ (ทำไมไล่คนอ่านแบบเน้! 55+) ถึงที่แล้วก็ไปดูกันเลยจ้า ว่ามีอะไรบ้าง

ด้านหนึ่งเป็นวิหารหลวงพ่อใหญ่ ส่วนอีกด้านเป็นรูปปั้นหลวงปู่ทวดขนาดใหญ่ ขออภัยมิได้ถ่ายมา เย็นย่ำ ล้าหมดแล้วแม่ 555+
ตั้งใจมาดูอันนี้จ้า

ไม่เสียค่าเข้าชมใดๆนะคะ เพียงหยอดตามกำลังศรัทธา มีถุงให้ใส่รองเท้า ถอดรองเท้าใส่ถุงแล้วเข้าไปเลยจ้า

ทางเข้าทางนี้จ้า
ข้างในจะเป็นทางเดินยาวๆไปแบบนี้
ส่วนด้านข้าง ก็เป็นรูปวาดสุภาษิต นึกถึงรายการเวทีทองเลยอะ (ใครนึกออกเหมือนกัน นี่ก็อายุไม่น้อยแล้วนะเธอ 555+)
เรือสำเภาจำลองจ้า
เมื่อถึงทางออก มองย้อนไปเก็บภาพ ก็จะได้วิวประมาณนี้เลย งามมากนะ

จบเรียบร้อยค่ะ กับทริป 1 วัน สุพรรณบุรี (แอบเลยเถิดไปกาญฯอีกนิดหน่อย) ก็หวังว่าใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ แล้วอยากจะไปเจอ ไปเห็น ไปสัมผัส ด้วยตัวเอง ตามที่ต่างๆที่เรารีวิวไว้ ใส่รองเท้า คว้ากระเป๋า เอาคนที่รัก(ขึ้นรถ) แล้วออกเดินทางกันเล้ย!!!

Trip Planning ไม่ได้พาไป แค่แนะนำให้ลองไป

Klook.com